ตอนนี้พรีเมียร์ลีก อังกฤษ โดนพายุไวรัสโควิด-19 ทั้งสายพันธุ์เดลต้าและโอมิครอน โจมตีอย่างหนัก จนทำให้เกมพรีเมียร์ลีก สุดสัปดาห์นี้ถูกเลื่อนออกไปเป็น 4 คู่
ประกอบไปด้วยเกมวันเสาร์ 3 คู่ เซาธ์แฮมป์ตัน พบ เบรนฟอร์ด, วัตฟอร์ด พบ คริสตัล พาเลซ และ เวสต์แฮม ยูไนเต็ด พบ นอริช ซิตี้
ส่วนวันอาทิตย์อีกหนึ่งคู่เป็นเกมระหว่าง เอฟเวอร์ตัน พบ เลสเตอร์ ซิตี้
เชื่อว่ายังมีเรื่องให้พรีเมียร์ลีก ต้องปวดหัวเพิ่มขึ้นอีกแน่ เพราะการระบาดครั้งนี้ทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ
ล่าสุด ลิเวอร์พูล ได้แถลงข่าวว่า 3 แข้งตัวหลัก คือ เวอร์กิล ฟาน ไดจ์ค กองหลังตัวแกร่ง
รวมไปถึง ฟาบินโญ่ กองกลางตัวรับ และ เคอร์ติส โจนส์ กองกลางดาวโรจน์อีกหนึ่งคนติดเชื้อไวรัสโควิด-19 เรียบร้อยแล้ว
นี่ยังไม่นับบรรดาแข้ง เชลซี อย่าง มาเตโอ โควาซิซ, โรเมลู ลูกากู, คอลัม ฮัดสัน-โอดอย และ ติโม แวร์เนอร์ ที่เป็นรายล่าสุดที่ผลตรวจเป็นบวก จนพลาดลงสนามในเกมที่เสมอ เอฟเวอร์ตัน ในรังสแตมฟอร์ด บริดจ์ ของตัวเอง 1-1 เมื่อคืนที่ผ่านมา
แต่ทีมที่แอบยิ้มคงหนีไม่พ้น “เรือใบสีฟ้า” แมนเชสเตอร์ ซิตี้ จ่าฝูงที่มี 41 แต้ม จากการลงสนาม 17 นัด
โดยลูกทีมของ “เป๊ป กวาร์ดิโอล่า” แม้จะมีคะแนนนำห่าง “หงส์แดง” รองจ่าฝูงอยู่เพียง 1 แต้ม และนำ “สิงห์บลู” อันดับ 3 อยู่ 4 แต้ม
แต่ฟอร์มการเล่นของพวกเขาไฉไลเป็นบ้า ล่าสุดตอกย้ำความเทพด้วยการเปิด เอติฮัต สเตเดียม ถล่มเอาชนะ ลีดส์ ยูไนเต็ด ไปด้วยสกอร์ขาดลอย 7-0
ขณะที่ขุมกำลังยังแกร่งทั่วแผ่น ทั้งกองหลัง, กองกลาง และตัวรุก ที่พร้อมหมุนเวียนสลับสับปรับเปลี่ยนกันลงสนามได้อย่างลงตัว
ส่วนผู้ท้าชิงอย่าง “ลิเวอร์พูล” และ “เชลซี” นอกจากปัญหาแข้งตัวหลักติดโควิด-19 แล้ว เรื่องภายในก็มีเรื่องให้ขบคิดไม่น้อย
เริ่มจาก “ลิเวอร์พูล” ที่เดือนหน้าอาจจะต้องเสีย “โมฮาเหม็ด ซาลาห์”, “นาบี้ เกอิต้า” และ “ซาดิโอ มาเน่” ที่ต้องบินไปช่วยทีมชาติของตัวเอง ทั้ง อียิปต์, เซเนกัล และ กินี ตามลำดับในศึกแอฟริกัน เนชั่นส์ คัพ 2022 ระหว่างวันที่ 9 มกราคม-6 กุมภาพันธ์ ศกหน้า
หากทั้ง 3 แข้งผ่านเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศ จะพลาดลงสนามช่วย “หงส์แดง” ถึง 8 นัดเลยทีเดียว
โดยเฉพาะในรายของ “ซาลาห์” ที่ต้องบอกว่าแทบจะเป็นทุกอย่างให้แนวรุกของทีม แถมจรวดฟาโรเพิ่งเพิ่มสถิติส่วนตัว ด้วยการยิงประตูและแอสซิสต์ติดต่อกันในพรีเมียร์ลีก 15 เกมเท่ากับสถิติของ เจมี่ วาร์ดี้ หัวหอกเลสเตอร์ ซิตี้ ที่เคยทำไว้เมื่อปี 2015 เรียบร้อยแล้ว
นอกจากนี้เขายังยิงประตูและแอสซิสต์ในพรีเมียร์ลีก รวมกัน 24 ครั้ง แบ่งเป็นยิง 15 ประตู และ 9 แอสซิสต์ เป็นรองสถิติเดิมที่ อลัน เชียร์เรอร์ ทำไว้สมัยค้าแข้งกับ แบล็คเบิร์น โรเวอร์ ในปี 1994-95 ด้วยการยิง 16 ประตู และ 9 แอสซิสต์
ที่สำคัญเขายังนำโด่งเป็นดาวซัลโวพีเมียร์ลีก แบบเดี่ยวๆ หลังยิงไป 15 ตุงเข้าไปแล้ว
บอกเลยถ้าไร้ “ซาลาห์” แถมขุมกำลังของทีมก็ไม่ได้ใหญ่มาก คงทำให้ “เจอเก้น คล็อปป์” ปวดหัวไม่น้อย
ส่วน “เชลซี” นอกจากแข้งติดโควิด-19 ยังมีปัญหาเรื่องนักเตะบาดเจ็บ โดยเฉพาะ เอ็นโกโล่ ก็องเต้ กองกลางตัวตัดเกม
ไหนจะเรื่องปัญหาการต่อสัญญาแนวรับที่จะหมดพร้อมกันหลังจบฤดูกาลนี้
โดยเฉพาะเรื่องหลังสุดที่ทำท่าจะส่งผลโดยตรง เพราะพวกเขาเสียประตูติดต่อกันทุกรายการ 6 นัดเข้าไปแล้ว ต่างจากช่วงต้นฤดูกาลที่แนวรับเหนียวเป็นตังเม
หากช่วงบ็อกซิ่งเดย์ “แมนฯ ซิตี้” สามารถโกยแต้มและไม่สะดุด โอกาสที่จะลอยลำนำเป็นจ่าฝูง พร้อมคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก แบบม้วนเดียวจบมีสูง
เพราะสถานการณ์ทุกอย่างช่างเป็นใจให้ “เรือใบสีฟ้า” เหลือเกิน