กวาร์ดิโอล่า : กับการตามล่าหาโทรฟี่ แชมเปี้ยนส์ลีก By Singsanam

กวาร์ดิโอล่า : กับการตามล่าหาโทรฟี่ แชมเปี้ยนส์ลีก

เป็นอีกครั้งที่เราจะได้เห็น เป๊ป กวาร์ดิโอล่า พาทีมตะลุยเข้าสู่รอบรองชนะเลิศ แชมเปี้ยนส์ลีก ซึ่งเหมือนภาพคุ้นชินพอสมควรกับนายใหญ่ชาวสเปนในการแข่งขันดังกล่าว ฤดูกาลนี้ กวาร์ดิโอล่า หมายมั่นพอสมควรในการพาพลพรรค แมนเชสเตอร์ ซิตี้ เอื้อมมือไปสัมผัสถ้วยบิ๊กเอียร์ เพราะไม่ใช่เพียงแค่ความสำเร็จที่ทีม และแฟนบอลถวิลหา แต่มันคือจุดหมายที่ห่างมือเขามานานมากกว่า 10 ปี 7 ฤดูกาลภายใต้การเป็นนายใหญ่ของ เรือใบสีฟ้า เจ้าตัวเคยพาทีมไปไกลถึงรอบชิงชนะเลิศมาได้แล้วครั้งหนึ่ง แต่ก็อกหักพ่ายให้กับ เชลซี แบบน่าเสียดาย ซึ่งนั่นคือการใกล้เคียงที่สุดของเขานับตั้งแต่โบกมือลา บาร์เซโลน่า ออกมา

ก่อนอื่นไปย้อนดูสถิติของ เป๊ป ในการคุมทีมใน แชมเปี้ยนส์ลีก กันก่อน นับตั้งแต่เทิร์นโปรก้าวสู่วงการงานโค้ช สถิติที่น่าทึ่งของเขาคือได้คุมทีมเล่นในรายการนี้แบบสม่ำเสมอ และไม่เคยจอดป้ายที่รอบแบ่งกลุ่มเลยสักครั้งเดียว ตัวเลขที่น่าสนใจคือนายใหญ่เลือดกระทิงพาต้นสังกัดกรุยทางถึงรอบรองชนะเลิศได้มากถึง 10 ครั้ง ซึ่งเป็นคนแรกที่สามารถทำได้ไล่มาตั้งแต่ บาร์เซโลน่า, บาเยิร์น มิวนิค และ แมนเชสเตอร์ ซิตี้

โด่งดังกับเจ้าบุญทุ่ม

ย้อนกลับไป เป๊ป ได้โอกาสก้าวขึ้นมาคุมทัพ บาร์เซโลน่า ชุดใหญ่เมื่อปี 2008 ซึ่งในตอนนั้นมีการตั้งคำถามเยอะถึงเรื่องประสบการณ์ เพราะเจ้าตัวไม่เคยผ่านงานระดับสูงมาเลย วนเวียนอยู่กับการทำทัพ อาซูลกราน่า ชุดเล็ก แต่ด้วยความมีเลือดของทีมแบบเต็มขั้น สิ่งที่เจ้าตัวมีเหนือกว่าคนอื่นๆ คือการเข้าใจธรรมเนียม และความต้องการของสโมสร เพียงซีซั่นแรก เป๊ป พา บาร์เซโลน่า เถลิงบัลลังก์แชมป์ แชมเปี้ยนส์ลีก ได้อย่างยิ่งใหญ่ด้วยการเอาชนะ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่เป็นหนึ่งในชุดที่ดีที่สุดจากการกุมบังเหียนของ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน

การต่อบอลที่สวยงานเพลินตา

กลายเป็นว่าแสงสปอร์ตไลท์ได้ฉายแสงไปหากุนซือหนุ่มคนนี้มากขึ้นเรื่อยๆ ระบบแบบแผนฟุตบอลชัดเจน การต่อบอลกับพื้น และวิธีการเข้าทำ ก่อนที่จะวนเวียนกลับมาคว้าแชมป์สมัยที่ 2 อีกครั้งในอีก 2 ปีถัดมา ซึ่งวันนั้นก็เป็นการปราบคู่แข่งทีมเดิมอย่างทัพ ปีศาจแดง ซึ่งถ้าจะบอกว่านั่นคือ บาร์เซโลน่า หนึ่งในชุดที่พีคที่สุดก็ย่อมได้ นักเตะมีความเข้าใจในเกมสูงพอสมควรไม่ว่าจะเป็น ชาบี เอร์นานเดซ, อันเดรส อิเนียสต้า, เซร์จี้ บุสเก็ตส์, เปโดร โรดริเกวซ หรือ ลิโอเนล เมสซี่

ตั้งแต่ออกจากคัมป์ นู เขาก็ไม่เคยได้ลิ้มรสถ้วยหูใหญ่อีก

สถิติอย่างหนึ่งที่น่าสนใจของ เป๊ป ตลอดการเป็นนายใหญ่แห่ง คัมป์ นู คือ 4 ฤดูกาลในตำแหน่งเจ้าตัวสามารถพาทีมไปถึงอย่างน้อยๆ รอบรองชนะเลิศได้ทั้งหมด จนมีเสียงชื่นชมว่านี่คือกุนซือที่กำลังจะโค่นทุกสถิติต่างๆ ที่มีในรายการนี้ ทว่าจากคำยกย่องในวันนั้น กลายเป็นว่าแชมป์ครั้งสุดท้ายที่ เป๊ป คว้าโทรฟี่ใหญ่ยุโรปมาครองได้คือฤดูกาล 2010-11 หรือพูดให้เข้าใจง่ายๆ คือนับตั้งแต่แบกกระเป๋าออกจาก คัมป์ นู เขาไม่เคยได้สัมผัสแชมป์รายการนี้อีกเลยจะด้วยเหตุผลทางวิทยาศาสตร์ หรือไสยศาสตร์ ไม่อาจตอบได้ แต่มันคือเรื่องจริงที่ เป๊ป เองยังคงตามหาจวบจนทุกวันนี้

ห้วงเวลาที่ทัพเสือใต้

ห้วงเวลากับ บาเยิร์น มิวนิค แฟนบอลหลายคนตั้งความหวังเอาไว้สูงพอสมควรกับการได้กุนซือฝีมือดี และเชี่ยวชาญเรื่อง แชมเปี้ยนส์ลีก เข้ามา ทว่าก็ไปได้ไกลเพียงแค่รอบรองชนะเลิศเท่านั้นตลอดการทำงาน 3 ซีซั่นในเมืองเบียร์

-ฤดูกาล 2013-14 : แพ้ เรอัล มาดริด สกอร์รวม 2 นัด 0-5

-ฤดูกาล 2014-15 : แพ้ บาร์เซโลน่า สกอร์รวม 2 นัด 3-5

-ฤดูกาล 2015-16 : เสมอ แอตเลติโก มาดริด 2-2 แต่ร่วงตกรอบด้วยกฎประตูทีมเยือน

ซึ่งกับความผิดหวังเหล่านี้ตัวของ เป๊ป ไม่ได้มองว่าความคือความล้มเหลว เพราะมันยังมีอีกหลายแง่มุมที่เขาพา บาเยิร์น พุ่งชนกับโทรฟี่ใบอื่นๆ “เวลาของผมใน มิวนิค ไม่ได้ถูกตัดสินด้วยการไม่อาจคว้าแชมป์ แชมเปี้ยนส์ ลีกการชนะมันยาก และความพ่ายแพ้เป็นส่วนหนึ่งของการแข่งขัน ฟุตบอลให้โอกาสอีกครั้งเสมอ และผู้คนก็ต้องประหลาดใจกับความยากของแชมเปี้ยนส์ ลีก กับบาเยิร์น ผมได้เข้าถึงรอบรองชนะเลิศ 3 ครั้ง”

การมาที่เรือใบสีฟ้าถูกตั้งความหวังไว้สูงมาก

ส่วนการมาอยู่กับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ เหล่าผู้บริหารย่อมมองเห็นว่าตัวกุนซือคนนี้จะสามารถพาทีมไปได้ไกล และประสบความสำเร็จในรายการนี้เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์สโมสรเสียทีทว่ากับความเป็นจริงช่วงเวลา 6 ปีก่อนหน้านี้ ต้องยอมรับว่าน่าผิดหวังพอสมควร แม้จะเคยพาไปถึงรอบชิงชนะเลิศ แต่ด้วยความพ่ายแพ้ที่เกิดขึ้นย่อมไม่มีใครจดจำเท่ากับผู้ชนะ แน่นอนอย่างที่กล่าวไปนี่คือโทรฟี่ที่สโมสรต้องการมากที่สุด หลังประกาศศักดาคว้าทุกแชมป์ในประเทศมาได้หมดแล้ว เฉกเช่นเดียวกับตัวของ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า 12 ปีเต็มที่ร้างราความสำเร็จเขาเองยังคงมีแรงกระหาย และต้องการพาตัวเองไปอยู่ในจุดสูงสุดนี้อีกครั้ง“แน่นอนว่าเราจะไม่ถูกตัดสินจากวิธีการเล่นของเราเท่านั้น แต่รวมถึงตำแหน่งที่เราได้รับด้วย นั่นเป็นความจริง ถ้าเราไม่ชนะในช่วงสุดท้ายของผมที่นี่ ผมก็จะล้มเหลวที่นี่ทันที” ส่วนหนึ่งที่ เป๊ป เคยให้สัมภาษณ์เอาไว้

หนทางความสำเร็จมีราชันชุดขาวขวางหน้าอยู่

กับสถานการณ์ปัจจุบันเป็นอีกครั้งที่ เป๊ป จะพาทีมลงเล่นในรอบรองชนะเลิศ โดยที่มีก้างชิ้นโตอย่าง เรอัล มาดริด ขวางหน้าเอาไว้อยู่ และเคยเขี่ยทีมของเขาตกรอบนี้มาแล้วถึง 4 ครั้ง ด้วยกัน นับง่ายๆ ตอนนี้เหลือบันไดอีกเพียง 3 ขั้น ในการเอื้อมมือไปสัมผัสโทรฟี่ใบนั้น แต่เป็นก้าวใหญ่พอสมควรกว่าจะไปถึงจุดที่ต้องการถ้าวัดจากศักยภาพในตอนนี้ แมนฯ ซิตี้ เองก็เพียบพร้อมพอสมควรในการเดินหน้าคว้าแชมป์มาครองให้ได้ โดยเกมรุกที่ฤดูกาลนี้ร้อนแรงมากเหลือเกินกับการได้ตัว เออร์ลิ่ง ฮาแลนด์ เข้ามา และยิ่งบวกกับนักเตะที่คนผลงานยกระดับได้ชัดเจนอย่าง แจ็ค กรีลิช รวมไปถึงมาตรฐานของ เควิน เดอ บรอยน์ หรือ อิลคาย กุนโดกัน

เป๊ปจะทำมันได้สำเร็จหรือไม่?

ทว่าฟุตบอลหนึ่งเกมมันมีรายละเอียดอะไรมากกว่าแค่ความสามารถของนักเตะ ยิ่งเป็น แชมเปี้ยนส์ลีก คุณต้องเนี๊ยบทุกวินาทีในสนาม ระยะเวลาที่ห่างหายไปของ เป๊ป มันกินเวลาไปนานพอสมควร เช่นเดียวกับสโมสรก็ต้องการความสำเร็จใน แชมเปี้ยนส์ลีก เพื่อปิดรอยด่าง และก้าวสู่มหาอำนาจฟุตบอลยุโรปอย่างเต็มตัว อีกไม่นานเกินรอจะได้ทราบคำตอบว่า เป๊ป กวาร์ดิโอล่า และ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ จะทำลายกำแพงเหล่านั้นได้ไหมหรือยังคงต้องร้องเพลงรอคอยกันต่อไป …

คอนเทนต์เพิ่มเติม :: ฟุตบอลคอนเทนต์

รับชมฟุตบอลออนไลน์ :: ดูบอลสด

ติดตามบทวิเคราะห์บอลเพิ่มเติม :: วิเคราะห์บอลวันนี้