fbpx

จะมาว่าด้วยเรื่องของพรีเมียร์ลีก กับ โอมิครอน ที่แผ้วถางรสชาติลูกหนังบนผืนหญ้าออกไปทีละนิด

อารมณ์เหมือนเล็มปลายหญ้าออกไปนิดหน่อย แต่ถ้าเป็นคนในคลับ ท็อตแน่ม ฮอทสเปอร์ กับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด อาจจะเห็นว่า โดนกร้อนเอามุมธงของแคมป์ฝึกซ้อมไปด้วย

ก็แน่ล่ะการเลื่อนแข่งของทีมยักษ์ใหญ่ในพรีเมียร์ลีก มันเสียหายหลายแสนมาก

คอลัมน์ชิ้นนี้จะไม่เกี่ยวอะไรเลยกับแผนการป้องกันโควิด-19 ของทั้ง สหราชอาณาจักร และ ประเทศไทยเรา เพราะไอ้คนเขียนมันไม่รู้ตื้นลึกหนาบาง

แต่จะนำมันมากอดกัน โยงกัน เชื่อมให้ชนกันจนเห็นว่า วิธีการจัดการมันต่างกันแบบสุดติ่งขนาดไหน-และส่งผลกระทบวงกว้างกับอุตสาหกรรมฟุตบอลในลีกนั้น ๆ อย่างไร

หนึ่งเลยคือ ล่าสุดที่เคาะแป้นพิมพ์ ดูดอเมริกาโน่คล่องลิ้นอยู่นั้น แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด กลายเป็นทีมล่าสุดที่เดินไปถึงหน้าประตูแล้วประตูอัตโนมัติหลบให้ (เลื่อน)

เกมกับ เบรนท์ฟอร์ด ที่ไปเตะที่บ้านของ เดอะ บีส์ มันจะไม่เกิดขึ้นในคืนวันอังคาร

ปีนี้แมนฯ ยูไนเต็ด สะกดจิตให้ประตูอัตโนมัติมันเลื่อนมา 2 นัดแล้ว แต่ครั้งก่อนเป็นเรื่องของสโมสรเองที่ประมาทพลังแฟนบอลไปหน่อย

ส่วนสาเหตุ อย่างที่ทราบกันคือมีบุคลากรของสโมสรไม่น้อยกว่า 1 คน ติดเชื้อโควิด-19 สายพันธุ์ใหม่ และเป็นห่วงเป็นใยว่ามันจะฝังตัวอยู่ในคนอื่น ๆ ที่ผลตรวจสเต็ปแรกออกมายังเป็นลบ

ถึงวันนี้ มีหลายกรณีที่กระทบ นับนิ้วจากสื่อดัง บีบีซี สปอร์ต เขาช่วยนับให้ก็มีแล้ว 5 คดี รวมกับพลพรรคปิศาจไปแล้ว ก็ไล่ตั้งแต่ ยูฟ่า ยูโรป้า คอนเฟอเรนซ์ ลีก ของ ท็อตแน่ม ฮอทสเปอร์ ที่ต่อยอดมาจากพรีเมียร์ลีก กับ ไบรท์ตัน ก่อนหน้า

ยูฟ่า ยูโรป้า ลีก ของ เลสเตอร์ ซิตี้ กับ นาโปลี ด่วนจากลากันไปดื้อ ๆ เลย และก็ไม่รู้บาปกรรมอะไร นาโปลี ที่ได้วันพักเพิ่ม ปิดจ๊อบความเหงาให้แฟนเฉพาะกิจ ด้วยการแพ้ เอ็มโปลี แบบง่าว ๆ ไปอย่างนั้นเลย

รวมถึงที่กำลังจะแผ่ขยายที่ แอสตัน วิลล่า และ ไบรท์ตัน ที่สองบรมครูอย่าง สตีเว่น เจอร์ราร์ด และ เกรแฮม พอตเตอร์ แจงแล้วว่ามีคนติดจริง ๆ

แต่ความนิ่งประดุจการจราจรในเมืองไทย (เออ เข้าใจเทียบ) ของพรีเมียร์ลีก ก็ยังยืนยันที่จะให้เกมลีกของ ยูไนเต็ด เป็นเกมเดียวที่ถูกเลื่อนไปก่อน ทั้งที่ความเสียหายเริ่มแผ่กว้าง ตามธรรมชาตินิยมของคนอังกฤษ ที่ไม่ค่อยใส่หน้ากากอนามัยกัน

ทีนี้ถอดเกล็ดว่า ทำไม พรีเมียร์ลีก ถึงพิจารณาเป็นเคส ๆ ไป

-ความปลอดภัยฉบับกลุ่มย่อย

พรีเมียร์ลีก ใคร่ขอความร่วมมือกับทุกสโมสรในการรับวัคซีน แต่ไม่ใช่การบังคับใด ๆ ทำให้ลึกลงไปในทีมต่าง ๆ ยังมีหลายคนที่สมัครใจเฟี้ยวด้วยการไร้ซึ่งมลทินจากวัคซีน (ว่าไปนั่น)

ฌอน ไดซ์ ผู้จัดการทีม เบิร์นลี่ย์ ที่กำลังตกที่นั่งลำบาก สามแต้มก็หายากอยู่แล้ว ยังเปลือยอกเปิดใจให้รู้ว่า นักเตะในทีมบางคนก็ยังไม่รับวัคซีน แต่จะไม่ก้าวก่าย เพราะมันคือสิทธิส่วนบุคคลของเขา-พลางตัดช่องน้อยแต่พอตัวตะโกนดังลั่นว่า กูอะครบโดสแล้วมึงโทษกูไม่ได้

ให้เดาสาเหตุหนึ่งของพรีเมียร์ลีกก็คือ พวกเขามองตัวเองว่าน่าจะจำกัดคนหมู่มากได้ แต่ไปเจ๊าะแจ๊ะกับสโมสร ที่ซึ่งเป็นต้นกำเนิดที่แท้จริงของการแข่งขันโดยตรง คงลำบากหน่อย (ไม่มีนักเตะแล้วมันจะเตะกันยังไง)

ถ้ามันไม่ส่งผลกระทบต่อมวลรวมในประเทศ พวกเขาก็พร้อมจะเดินหน้าลุยต่อแบบไม่หวั่นแม้วันมามาก หรือใด ๆ

-มูลค่าความน่าเชื่อถือของลีก

พวกเขาเสียหายไปเต็มประตูแล้วเมื่อฤดูกาลก่อน ดังนั้นมันคือบทเรียนราคาแพง ที่จะต้องค่อย ๆ สร้างมันกลับมาอีกครั้ง

การจัดแข่งขันแล้วมีแฟนบอลเข้ามาชมเกมกันอึกทึกครึกโครม มันเป็นตัวเรียกแต้มที่กลับมาทำให้ม้าเต็งหมายเลขหนึ่งลูกหนังโลกอย่าง พรีเมียร์ลีก ยังคงครองหัตถาพิภพต่อไป

พวกเขายังไม่ออกมาระบุว่าจะ จัดแข่งแบบไหน จะม้วนกลับไปแบบปิดอีกหรือไม่? ยังคงมีเพียงรับไม้ต่อจากรัฐบาลที่บอกกับสาธารณชนว่า ใช้แผน บี

ถึงตรงนี้อาจจะมีแฟนบอลขาจรหลายคนที่ผิดหวัง บ้างก็วางหมากมาทั้งชีวิตว่าจะต้องเดินทางไปดูทีมรักให้ได้ พอมาเจอเหตุนี้ก็หมอบกันไปตามยถากรรม

แต่พรีเมียร์ลีก ยังแข็งแรงอยู่ได้จากเสียงสะท้อนมวลรวม

-ค่าใช้จ่ายที่ต้องแบกรับ

พรีเมียร์ลีก ยังคงยึดกับสโมสรสมาชิกเป็นหลัก เคาะโต๊ะปิดประมูลความคิดใดออกมา นั่นหมายถึงความเป็นอยู่ของใครหลายคนด้วย

ยิ่งปัญหาที่ค้างมาจากปีก่อน กับการชำระค่าลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสด จุกตูดเป็นหูดบิ๊กไซซ์อยู่ที่แก้มก้นฝั่งขวา

วิธีที่จะง่ายที่สุดที่อยู่ในระดับสายตาของพวกเขาก็คือ จัดแข่งไปให้ได้มากที่สุด เท่าที่จะเป็นไปได้(ดีกว่า) แล้วค่อยลดคอสต์จากปัญหาภายนอกตามไป

ยังทำให้ พรีเมียร์ลีก ก็ยังคงเป็น การจัดการการแข่งขันฟุตบอล ตามเดิม

กลับกันกับลีกบ้านเราที่ เฮ้ย พอมีสักเคสหนึ่งเกิดขึ้นก็คิดอยู่อย่างเดียวว่าจะ ยกเลิกการเตะ หยุดแข่งกันไปชั่วคราว หรือหนักเลยคือที่เป็นอยู่ปัจจุบัน คือปรับปฏิทินการแข่งขันกันไป

อาจจะมาก่อนกาลที สมาพันธ์ฟุตบอลแห่งเอเชีย หรือ เอเอฟซี เขาปรับปฏิทินบางอย่างแล้วมาสอดคล้องกับเราพอดี เลยได้แอคอาร์ตสมาร์ทด็อกหน่อยว่า ไม่ได้เสียหาย

แต่บทเรียนสุดเจ็บแสบที่เลือกปรับปฏิทิน ยังทำให้สโมสรสมาชิก หรือ คนลูกหนังไทย ยืนตรากตรำรับผิดชอบปัญหากันหลังแอ่นอยู่เลย

เปรียบเป็นแผล ก็คงจะเป็นแผลที่ฉ่ำอยู่ตลอด สดเสมอ เลือดกระฉูด ราดเบตาดีนทั้งขวดก็น่าจะไม่ทำให้เลือดหยุด หรือสมานแผลได้

ดังที่ได้เห็นกับตลาดซื้อ-ขายที่เวียนว่ายกันอยู่ตอนนี้

โชคยังดีที่มันยังไม่เกิดขึ้น

ถามว่าถ้า โอมิครอน มันเลี้ยวเข้ามาในวงการฟุตบอลไทยล่ะ หยิบยืมโมเดลของลูกหนังผู้ดีมาสวมเป็นโมเดลของตัวเองบ้างได้มั้ย

คำตอบคือ ไม่ได้แน่ ๆ หนึ่งร้อยเปอร์เซนต์ แม้กระทั่งการเตะแบบไม่มีคนดู มันก็เป็นทางออกที่ยากกว่าแก้ปมเงื่อนตาย

การพักแมตช์เตะ การอัดโปรแกรมแน่นเหมือนปีก่อน น่าจะกลับมาหลอกหลอนอีก

-รัฐบาล

ตอนนี้พวกเขาคุมเลขผู้ติดเชื้อลงมาเหลือหลัก 2-3 พันคน จากที่ช่วงพีคจัดที่เคยแตะไปถึง 10 เท่าของยอดปัจจุบัน ก็ไปถึงมาแล้ว

ดังนั้นพวกเขาจะไม่ผลีผลามต่อลูกน้ำรำไรตัวเล็ก ๆ ที่จะมาขวางองคาพยพที่จะเอาตัวรอดจากเชื้อห่าเหวนี้แน่

ฟุตบอลอยู่ในสายตาของพวกเขา-อย่างที่เห็นกับ ยูโร 2020

ดังนั้นเมื่อเกิดเหตุการณ์ระทึกของ โอมิครอน ขึ้นมาอีก ไม่มีทางที่รัฐบาลจะลงมาบอกว่า เฮ้ย มึงก็เลิกไปแค่แมตช์สองแมตช์พอ แต่จะเป็นการเลิกไปเลย เซฟตัวเองที่สุด

-สไตล์การบริหาร

ความฉับไวยังเป็นเหมือนแกะดำในฝูงอยู่ ทั้งที่ผ่านมา บ้านลูกหนังไทยในยุคนี้ พยายามสร้างความดีความชอบในทิศทางอื่น ๆ เต็มที่

บางครั้งการตัดสินใจยังคงผ่านคนหลายคน ผ่านปากกาหลายแท่ง ก่อนจะเซ็นกันครบเป็นหลักฐานในการทำอะไรสักอย่าง

ไม่นับการทำทีมชาติแล้วยังไม่ปัง จนต้องพึ่งสไตล์ฟุตบอลเก่า ๆ กลับมาช่วยพยุงชื่อเสียง เรื่องนี้นับว่าเป็นการแสดงให้เห็นชัดเจนเลยว่า

สมาคมฯ ก็ยังไม่ได้ยืนด้วยลำแข้งตัวเองจริง ๆ หรอก

ผลกรรมจึงร่วงไปที่สโมสร ที่ไฟต์บังคับใช้จังหวะนี้ในการเติมผู้เล่นให้เต็มสำรับไว้ก่อน เปิดการ์ดรอรับหมัดหนัก ๆ ที่น่าจะเข้ามา หรือแม้แต่ไม่เข้ามาก็ต้องเอาสบายใจเป็นที่ตั้ง

โอมิครอน อาจจะไม่ถึงกับทำร้ายอุตสาหกรรมลูกหนัง ถ้ามันยังไม่มาถึง

แต่แค่ได้เห็นวิธีการจัดการเวอร์ชั่นอังกฤษ กับเวอร์ชั่นไทยแล้ว ก็พอรู้ล่ะว่าทำไมลูกหนังไทยมันยังไม่ได้พุ่งปริ๊ดชนะทุกชาติอาเซียน เหมือนที่เข้าใจ

ขออย่าให้มันเลยเถิดแบบที่ร่ายมาเลย

ร้อยทั้งร้อย ที่ไทยก็คงจะแก้ปัญหานี้แบบเดิม ไม่มีทางทำแบบพรีเมียร์ลีก เท่ๆ เดิ้นๆ ได้ พร้อมคำตอบเดิม ๆ ที่แปลเป็นนัยว่า ต้องอิงตามรัฐบาลเป็นหลัก-สิ้นหวัง

เหมือนกับแก้ปัญหาจราจรติดขัดด้วยการส่งคนรวยขึ้นทางด่วน และบังคับคนจนให้วิ่งข้างล่างนั่นแหละ สิ้นหวังพอกัน

เพราะคนพูดมันควายล้วน ไม่มีวัวผสมเลยว่ะ