ฟุตบอลสัปดาห์ที่ผ่านมาไม่มีเรื่องไหนใหญ่ไปกว่า อิตาลี ดีกรีแชมป์ยูโร หนล่าสุด “ตกม้าตาย” ชวดไปเล่นฟุตบอลโลก 2022 รอบสุดท้ายที่ประเทศกาตาร์ ไปแบบพลิกความคาดหมาย
พูดไปแล้วลูกทีมของ โรแบร์โต้ มันชินี่ ต้องโทษตัวเองแบบ 100% เพราะ “อัซซูรี่” ไม่ควรมาอยู่ ณ รอบเพลย์ออฟ ตั้งแต่แรก การพลาดชวดแชมป์กลุ่ม กลายเป็นหายนะแรก แต่ก็ไม่มีใครคิดว่าพวกเขาจะแย่ถึงขั้นแพ้คาบ้านต่อทีมรองบ่อนอย่าง มาซิโดเนีย
อย่างไรก็ตาม อิตาลี ไม่ใช่ทีมใหญ่เพียงชาติเดียวที่ต้องเผชิญชะตากรรมแบบนี้ เพราะที่ผ่านมาก็เคยเกิดเรื่อง “สุดช็อก” มาแล้วหลายหน เอาที่ผู้เขียนเกิดทันนับตั้งแต่ 1990 เป็นต้นมา ก็มีถึง 5 ชาติเลยทีเดียว
ฝรั่งเศส 1994
เจ้าของแชมป์โลกหนล่าสุด และดีกรีแชมป์โลก 2 สมัยอย่าง ฝรั่งเศส กว่าจะเดินทางมาประสบความสำเร็จแบบทุกวันนี้ พวกเขาก็เคยผ่านจุดที่ย่ำแย่มาก่อนเหมือนกัน
ในปี 1994 ทีม “ตราไก่” ภายใต้การคุมทีมของ เชราร์ อุลลิเยร์ ถือว่ามีทีมที่ดีมากๆ นักเตะดังๆ ในยุคนั้นอย่าง ฌอง-ปิแอร์ ปาแป็ง, ดิดิเยร์ เดสช็องป์ส, มาร์กแซล เดอไซญี่, เอริค คันโตน่า หรือ ดาวิด ชิโนล่า มีใครบ้างที่ไม่รู้จักพวกเขา
ฝรั่งเศส เริ่มต้นรอบคัดเลือกได้สมราคาทีมเต็ง 8 เกมแรกชนะ 6 เสมอ 2 แต่หายนะเกิดขึ้นใน 2 เกมสุดท้าย “ดวงแตก” แพ้บ๊วย อิสราเอล จนต้องมาชี้ขาดกับ บัลแกเรีย ซึ่งจริงๆ แล้วขอแค่ผลเสมอก็จะตาม สวีเดน เข้ารอบสุดท้ายทันที
ทว่าเกมมาดราม่าในนาทีสุดท้าย ดาวิด ชิโนล่า ไม่ยอมเล่นถ่วงเวลาครองบอล ดันโยนลูกฟรีคิกจนถูกเกมโต้กลับโดนยิงแพ้ไปหน้าตาเฉย เหตุการณ์นี้ทำแฟนบอล ฝรั่งเศส โกรธแค้นอย่างมาก และกลายเป็นแผลใจที่ทำให้ ชิโนล่า ไม่ได้หวนกลับไปติดทีมชาติอีกเลย
อังกฤษ 1994
ไม่ใช่แค่ ฝรั่งเศส เท่านั้นที่ชวดฟุตบอลโลก รอบสุดท้ายที่สหรัฐ เพราะ อังกฤษ อีกหนึ่งทีมยอดนิยมของคนทั่วโลก ดัน “ตกม้าตาย” ทั้งๆ ที่ทีมคาดหวังไว้สูงมาก หลังฟุตบอลโลก 1990 พวกเขาทำได้ดีเข้าถึงรอบ 4 ทีมสุดท้าย
ประเด็นดราม่าส่วนใหญ่โจมตีไปที่กุนซือ “หัวผักกาด” เกรแฮม เทย์เลอร์ ที่ถูกมองว่ามือไม่ถึง ทั้งๆ ที่ทีมมีนักเตะฝีเท้าดีมากมาย อาทิ อลัน เชียร์เรอร์, พอล แกสคอยน์, เดวิด แพล็ตต์, จอห์น บาร์นส์, พอล อินซ์ และ โทนี่ อดัมส์ อยู่ในทีมแท้ๆ
จริงๆ แล้ว เทย์เลอร์ ไม่ควรได้คุมทีมต่อด้วยซ้ำ หลังพาทีมทำผลงานล้มเหลวตกรอบแบ่งกลุ่มในยูโร 1992 ซึ่งสิ่งที่แฟนบอลหวาดกลัวก็เกิดขึ้นจนได้ การบุกไปแพ้ต่อ นอร์เวย์ และ เนเธอร์แลนด์ คือแผลใหญ่ที่ทำให้ อังกฤษ พบกับความล้มเหลวในหนนั้น
โปรตุเกส 1998
จากการไม่ได้เล่นรอบสุดท้าย 2 สมัยติดต่อกันในปี 1990 และ 1994 ทีมชาติโปรตุเกส คาดหวังอย่างมากว่า “โกลเด้นเจเนอเรชั่น” ชุดแชมป์ฟุตบอลโลก ยู-20 ที่นำทีมโดย หลุยส์ ฟิโก้, รุย คอสต้า และ เจา ปินโต จะช่วยกู้หน้ากู้ตาได้เหมือนในยุคของ ยูเซบิโอ
ผลงานในยูโร 1996 ที่ทำได้ดีเข้าถึงรอบรองชนะเลิศ ช่วยเพิ่มความเชื่อมั่นให้กับคนในชาติได้อยู่ไม่น้อย แต่สุดท้ายความหวังก็แตกสลาย เพราะทีมของ ฮุมแบร์โต้ โคเอลโญ่ ล้มเหลวไม่ได้แม้กระทั่งโอกาสในการเล่นเพลย์ออฟ
“ฝอยทอง” ต้องโทษตัวเองทั้งๆ ที่พวกเขาไม่เสียท่าเลยทั้งเหย้าและเยือนในการเจอตัวเต็งของกลุ่มอย่าง เยอรมัน แต่การพ่ายแพ้เพียงเกมเดียวที่บุกไปเยือน ยูเครน กลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้พวกเขาจบแค่อันดับ 3 ของกลุ่มเท่านั้น
เนเธอร์แลนด์ 2002, 2018
จากการเข้าถึงรอบรองชนะเลิศได้ทั้งฟุตบอลโลก 1998 และยูโร 2000 เวลานั้น เนเธอร์แลนด์ คือหนึ่งในทีมที่ถูกจับตาอย่างมาก และถูกบรรดาเกจิหลายสำนักมองว่าดีพอที่จะเป็นตัวเต็งแชมป์ในฟุตบอลโลกฉบับเอเชีย (ญี่ปุ่น-เกาหลีใต้ เป็นเจ้าภาพ 2002)
แม้จะไม่มี เดนนิส เบิร์กแคมป์ กองหน้าตัวเก่งของ อาร์เซนอล ที่รีไทร์ทีมชาติ แต่ ยาป สตัม, เอ็ดการ์ ดาวิดส์, คลาเรนซ์ เซดอร์ฟ, รุด ฟาน นิสเตลรอย, แพทริค ไคลเวิร์ต, รอย มาคาย และ มาร์ค โอเวอร์มาร์ส ก็ถูกยกย่องเป็นนักเตะระดับโลกที่กำลังอยู่ช่วงอายุที่ดีที่สุดในอาชีพค้าแข้ง
ทว่าภายใต้การทำทีมของ หลุยส์ ฟาน กัล พวกเขาทำได้ดีที่สุดแค่อันดับ 3 โดน โปรตุเกส และ ไอร์แลนด์ ปาดหน้าทำได้ดีกว่าไปแบบน่าเจ็บใจ
“กังหันลมสีส้ม” มาเจอช่วงเวลาที่เลวร้ายอีกครั้งในยุคเปลี่ยนถ่ายทีม หลังสตาร์ดังอย่าง อาร์เยน ร็อบเบน และ โรบิน ฟาน เพอร์ซี่ย์ โรยราไปตามกาลเวลา แต่ไม่สามารถผลิตสายเลือดใหม่มาทดแทนได้ทันท่วงที
ขนาดได้มือฉมังอย่าง กุส ฮิดดิ้งค์ มาคุมทีมก็ยังเอาตัวไม่รอด เปลี่ยนถ่ายมาเป็น ดาลี่ย์ บลินด์ คุมทัพยิ่งเจอหายนะแบบเต็มสูบ เนเธอร์แลนด์ ผิดหวังชวดเข้ารอบสุดท้ายทั้ง ยูโร 2016 และฟุตบอลโลก 2018 แบบติดต่อกันเลย
อิตาลี 1998, 2022
ภายใต้การคุมทีมของของ จาน ปิเอโร่ เวนตูล่า ที่เข้ามาสานงานต่อจาก อันโตนิโอ คอนเต้ พูดตามตรงไม่มีใครไว้ใจ และการถูกจับสลากมาร่วมกลุ่มกับ สเปน ไม่แปลกใจเลยที่ อิตาลี จะได้เพียงอันดับ 2 ของกลุ่ม
แม้จะพลาดท่าบุกไปแพ้ สวีเดน 0-1 ในเกมแรก แต่การมีโอกาสแก้ตัวในเกมเลก 2 ที่บ้านตัวเอง หลายฝ่ายเชื่อว่า “อัซซูรี่” น่าจะเขี้ยวพอที่จะเอาคืนได้ ทว่าในยุคที่ไม่มีดาวยิงระดับโลก พวกเขาดันบ่มิไก๊ยิงคืนไม่ได้ สุดท้ายร่วงตกรอบจนทั้งกุนซือและประธานสมาคมต้องรับผิดชอบด้วยการเสียตำแหน่ง
อิตาลี ล้างบางทุกอย่างเพื่อเริ่มต้นใหม่ ภายใต้การคุมทีมของ โรแบร์โต้ มันชินี่ เน้นให้โอกาสแข้งหนุ่ม ปรับสไตล์ให้เน้นบุกมากกว่าเดิม พวกเขาทำได้ดีอย่างไม่น่าเชื่อผงาดคว้าแชมป์ยูโร 2020 พร้อมทำสถิติไร้พ่ายติดต่อกันนานสุดระดับชาติที่ 36 เกม
ในวันที่ใครๆ ก็ต่างคิดว่า อิตาลี กำลังเข้าสู่ยุครุ่งเรือง พวกเขาดันคว้าแชมป์กลุ่มของรอบคัดเลือกฟุตบอลโลก 2022 ไม่ได้ ต้องมาดิ้นรนเพลย์ออฟ การอยู่โถเดียวกับโปรตุเกส คือเป็นเส้นทางที่ไม่ง่ายแล้ว แต่เรื่องไม่คาดฝันก็เกิดขึ้นเมื่อแพ้ มาซิโดเนีย คาบ้าน ชวดเล่นรอบสุดท้ายฟุตบอลโลก 2 สมัยติดต่อกันเป็นครั้งแรกแบบช็อกคนทั้งโลก