ย้อนรอยเหตุการณ์ : แมนฯ ซิตี้ แซงปาดหน้าคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก
ย้อนรอยเหตุการณ์ : แมนฯ ซิตี้ แซงปาดหน้าคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก
สถานการณ์ลุ้นแชมป์พรีเมียร์ลีก อังกฤษ ในฤดูกาลนี้มาอยู่ในจุดที่พลิกผันอีกครั้ง เมื่อ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ กลายมาเป็นผู้ที่กุมความได้เปรียบทุกอย่างมาอยู่ในกำมือของตัวเอง สืบเนื่องจากเกมล่าสุดที่พลพรรคทัพ เรือใบสีฟ้า แดนหน้าไล่โขยกใส่จ่าฝูง ณ เวลานี้อย่าง อาร์เซน่อล ไปได้ 4-1 แม้จะยังไม่เพียงพอต่อการกระโดดขึ้นไปรั้งตำแหน่งจ่าฝูง เพราะคะแนนที่ตามหลังอยู่ 2 แต้ม ทว่าพวกลงสนามน้อยกว่าทัพ ปืนใหญ่ถึง 2 เกมเท่ากับจากเดิมที่ทัพ ปืนใหญ่ สามารถคุมเกมของการลุ้นแชมป์ไว้ในกำมือหลายสัปดาห์ แต่เมื่อถึงช่วงโค้งสุดท้ายปลายเดือนเมษายน ม้าแรงปลายอย่าง แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ที่มีความนิ่ง และเก๋ากว่ากำลังสร้างเหตุการณ์ปาดหน้าอีกครั้ง
ย้อนกลับในซีซั่นนี้มีช่วงหนึ่งที่ อาร์เซน่อล สามารถทำแต้มฉีกหนีห่าง แมนฯ ซิตี้ ไกลถึง 8 คะแนน แน่นอนว่าห้วงเวลานั้นต้องยอมรับเลยว่าโอกาสที่พวกเขาจะเอื้อมมือไปคว้าโทรฟี่แชมป์นั้นมันสูงมากเหลือเกินทั้งผลงานในสนามตอนนั้นเกมรุกดีทำประตูได้อย่างต่อเนื่อง เกมรับโชว์ความแข็งแกร่งให้ได้เห็น ทว่าสิ่งสำคัญนอกจากผลงานในสนาม คือความนิ่ง ความเก๋า และการเอาตัวรอดด้วยการคว้า 3 คะแนน ซึ่งเป็นสิ่งที่ อาร์เซน่อล ทำหล่นหายไป
จากที่ควรได้ 6 คะแนน จาก ลิเวอร์พูล กับ เวสต์แฮม กลายเป็นเสียหายเก็บได้แค่ 2 คะแนน จนกลายเป็นที่มาของความพลิกผันในตอนนี้ ซึ่งจะว่าไปนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ แมนฯ ซิตี้ กำลังทำภารกิจปาดหน้าคว้าแชมป์ เพราะที่ผ่านมามันมีภาพจำชัดๆ 2 ครั้ง ที่พวกเขาเป็นผู้ไล่ล่า และสามารถทำสำเร็จคว้าโทรฟี่อันมีเกียรติไปครอบครอง ว่าแล้ววันนี้เราจะพาไปย้อนดูเหตุการณ์ทั้ง 2 ครั้งกันว่าเรื่องราวมันเป็นอย่างไร และลงเอยด้วยความแสบสันที่ แมนฯ ซิตี้ ทำไว้อย่างไรบ้าง
ฤดูกาล 2011-12
ซีซั่นที่สามารถกล่าวได้เลยว่ามีอัตราความดราม่าอย่างจงหนักมากกว่า 180 ตีนถีบ เพราะสถานการณ์ที่พลิกผันยันวินาทีสุดท้ายในสนาม ก่อนที่จะเป็น แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ปาดหน้า แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด คว้าแชมป์ไปครองแบบหน้าตาเฉย เชื่อว่าแฟนบอลหลายคนยังคงจำวลีที่ผู้บรรยายเปล่งเสียงผ่านไมค์ว่า “Agueroooo !!” ได้เป็นอย่างดี จนกลายเป็นหนึ่งในคำพูดประวัติศาสตร์จวบจนทุกวันนี้ ในฤดูกาลดังกล่าวทัพ เรือใบสีฟ้า ภายใต้การทำทีมของ โรแบร์โต้ มันชินี่ ก็ถือว่าเป็นหนึ่งในตัวเต็งลำดับต้นๆ ในการลุ้นคว้าโทรฟี่ พรีเมียร์ลีก อังกฤษ ไปครอง
ก่อนเริ่มต้นฤดูกาลทีมได้ไปดึงตัว เซร์คิโอ อเกวโร่ มาร่วมทีมจาก แอตเลติโก มาดริด ด้วยราคา 36 ล้านปอนด์ บวกกับ กาเอล กลิชี่ และ สเตฟาน ซาวิช รวมกันสองรายแนวรับที่ค่าตัว 35 ล้านปอนด์ ไหนจะมี ซามีร์ นาสรี่ อีกรายที่ทุ่มเงินดึงตัวมาจาก อาร์เซน่อล แมนฯ ซิตี้ ออกสตาร์ทด้วยผลงานอันยอดเยี่ยมในช่วง 14 เกมแรกพวกเขาไม่แพ้ให้กับใครเลย แบ่งเป็นชนะ 12 เกม และเสมอ 2 นัด พร้อมทำแต้มทิ้งห่างอันดับสองอย่าง แมนฯ ยูไนเต็ด 5 แต้ม
ทว่าจุดเปลี่ยนมาอยู่ที่ช่วงต้นเดือนธันวาคม ลากยาวมาจนถึงปลายเดือนมกราคม ซิตี้ สะดุดหลายเกมพอสมควรทั้งแพ้ เชลซี, ซันเดอร์แลนด์ และ เอฟเวอร์ตัน อีกทั้งช่วงเดือนมีนาคมก็หลุดไปเยอะตลอดทั้งเดือนเก็บชัยชนะไปได้เพียง 2 จาก 5 เกมที่ลงสนาม ส่วนที่เหลือเป็นแบ่งเสมอ 2 และ แพ้ 2 เกมหลังจากนั้นกลายเป็นสถานการณ์พลิกกลับไปอยู่ในมือของ แมนฯ ยูไนเต็ด อีกครั้ง หลังจบแมตช์เดย์ที่ 33 เป็นทัพ ปีศาจแดง มีแต้มนำหน้าอยู่ 5 คะแนน พร้อมเหลือโปรแกรมเพียง 5 นัดเท่านั้น
สถานการณ์ตอนนั้นทำให้ มันชินี่ ออกมายกธงขาวกล่าวว่าทีมของตนไม่อาจไล่ตามคู่แข่งได้ทันแล้ว แต่ทว่าฟุตบอลไร้ซึ่งความแน่นอน เพราะ ยูไนเต็ด สะดุดแพ้ วีแกน แอธเลติก เสมอ เอฟเวอร์ตัน และแพ้คู่แข่งลุ้นแชมป์ด้วยกันอย่าง ซิตี้ ในแมตช์เดย์ที่ 36 กลายเป็นโมเมนตั้มเหวี่ยงมาอยู่ฝั่งพวกเขาอีกครั้ง สถานการณ์ก่อนลงสนามนัดสุดท้ายของฤดูกาลทั้ง ซิตี้ และ ยูไนเต็ด มีคะแนนเท่ากัน แต่ เรือใบสีฟ้า มีผลต่างประตูได้- เสียที่ดีกว่า
โดย ปีศาจแดง มีคิวบุกเยือน ซันเดอร์แลนด์ และ เรือใบสีฟ้า เปิดบ้านดวลบ ควีนพาร์ค เรนเจอร์ส เหตุการณ์ในวันนั้นเกมที่ สเตเดียม ออฟ ไลท์ จบก่อน ผู้เล่นของ แมนฯ ยูไนเต็ด กำลังรอผลคู่ ซิตี้ ที่ตอนนั้นโดย QPR นำอยู่ แต่กระนั้นความคลาสสิคของลูกหนังก็บังเกิดขึ้นเมื่อ ซิตี้ รัว 2 ประตูช่วงทดแทน ในเวลาเพียง 2 นาที พลิกสถานการณ์กลับมาคว้าแชมป์ได้อย่างยิ่งใหญ่ ด้วยผลต่างประตูได้-เสีย ที่ดีกว่าเท่านั้นกลายเป็นแชมป์ในยุคพรีเมียร์ลีกครั้งแรกของสโมสร และเป็นความทรงจำที่พลิกสถานการณ์ฝุ่นหลายตลบ พร้อมเป็นการแข่งขันหนึ่งในซีซั่นที่น่าจดจำของพรีเมียร์ลีก และ แมนเชสเตอร์ ซิตี้
ฤดูกาล 2013-14
เชื่อว่านี่คือฤดูกาลที่แฟนบอลของ ลิเวอร์พูล น่าจะจดจำได้อย่างขึ้นใจ แต่เป็นความทรงจำที่ไม่อยากใส่ไว้ในเมมโมรี่ เท่าไหร่นัก ตลอดเส้นทางเป็นขวบปีที่ทัพ หงส์แดง ทำผลงานได้ยอดเยี่ยมพอสมควร นักเตะอย่าง หลุยส์ ซัวเรซ ระเบิดฟอร์มเก่งออกมาได้ซัดถึง 31 ตุงในพรีเมียร์ลีก หรือแม้กระทั่ง แดเนียล สเตอร์ริดจ์ ก็ก้าวขึ้นมาเป็นความหวังได้ในแดนหน้าแม้ระหว่างทางจะมีเกมที่สะดุดพลาดให้ได้เห็นอยู่บ้าง แต่ก็มีช่วงที่ขึ้นนำเป็นจ่าฝูงด้วยการหนีห่างผู้ตามไกลถึง 9 แต้ม ทว่าจะด้วยความกดดัน ประสบการณ์ของนักเตะ และโค้ชทำให้มาพลาดท่าเอาในช่วงโค้งสุดท้าย
ซึ่งในขณะที่ ลิเวอร์พูล ผิดพลาด แมนฯ ซิตี้ กลับโกยคะแนนได้อย่างต่อเนื่อง ภาพจำเชื่อว่าคงเป็นเกมที่พลพรรค หงส์แดง พ่าย เชลซี คาบ้านตัวเอง ไหนจะหลุดเสมอกับ คริสตัล พาเลซ จนกลายเป็นช็อตที่เราได้เห็นน้ำตาของ หลุยส์ ซัวเรซ ไหลนองออกมาทั้งที่ฤดูกาลยังไม่จบซึ่ง 2 เกมที่กล่าวไปคือการพลาดในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของซีซั่นจริงๆ คือในเกมที่ 36 และ 37
อย่างที่เราทราบกันว่าสถานการณ์ของ หงส์แดง หลังเสมอ คริสตัล พาเลซ ในเกมรองสุดท้ายส่งผลให้ถูก แมนฯ ซิตี้ ทำคะแนนขึ้นนำก่อนลงเล่นนัดสุดท้าย สถานการณ์ทุกอย่างพลิกไปอยู่ในมือของ ซิตี้ ที่สามารถกำหนดไว้ได้สองเท้า ส่วนเกมสุดท้ายของฤดูกาลแม้ ลิเวอร์พูล จะสอย นิวคาสเซิ่ล ได้สำเร็จ แต่ แมนฯ ซิตี้ ก็ปาดเอาชนะ เวสต์แฮม ได้เช่นกัน ทำให้พลพพรคทัพ เรือใบสีฟ้า ปาดหน้าคว้าแชมป์ไปด้วยการมีแต้มมากกว่า 2 คะแนน ทั้งที่เป็นผู้ตามกระทั้งจนถึงเกมแมตช์เดย์ที่ 36
แน่นอนว่าถ้าถามเหล่า เดอะ ค็อป น่าจะเข้าใจหัวอกของแฟนบอล อาร์เซน่อล เป็นอย่างดีว่าการถูก แมนฯ ซิตี้ ไล่ล่ามันเป็นเช่นไร และเรื่องของความประสบการณ์ความนิ่ง ความเก๋า และการเอาตัวรอดมันสำคัญมากขนาดไหนแม้ฤดูกาลนี้จะยังไม่ได้ข้อสรุป แต่ที่ผ่านมา แมนเชสเตอร์ ซิตี้ แสดงให้เห็นแล้วถึงความเพียบพร้อม และสามารถพาตัวเองขึ้นไปกดดันคู่แข่งจนสติหลุด และสอยแชมป์ไปครองได้ในที่สุด
คอนเทนต์เพิ่มเติม :: ฟุตบอลคอนเทนต์
รับชมฟุตบอลออนไลน์ :: ดูบอลสด
ติดตามบทวิเคราะห์บอลเพิ่มเติม :: วิเคราะห์บอลวันนี้